ลักษณะอาการทางคลินิก
ผู้ป่วยมีอาการหลงผิดที่ไม่มีลักษณะแปลกพิกล (nonbizarre delusion) เนื้อหาของความหลงผิดมักเกี่ยวพันเชื่อมโยงเป็นเรื่องราวในแนวทางเดียวกัน (systematized delusion) การพูดจาท่าทางต่างๆ ดูปกติ ไม่มีพฤติกรรมที่เห็นชัดว่าแปลก การแสดงออกของอารมณ์มักเหมาะสมกับเรื่องราวที่เล่า ไม่พบว่ามีประสาทหลอนหรือถ้ามีก็เป็นครั้งคราวไม่เด่นชัด เป็นนานอย่างน้อย 1 เดือน ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะยังสามารถทำหน้าที่ต่างๆ ของตนได้ตามปกติ ยกเว้นบางกิจกรรมที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับความหลงผิดของตนเอง
โรคนี้มักเกิดในช่วงวัยกลางคนถึงวัยสูงอายุ ผู้ป่วยบางคนอาจเก็บตัวไม่เข้าสังคม ช่างระแวง มีท่าทีไม่เป็นมิตร บางครั้งอาจมีพฤติกรรมรุนแรง โดยเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องกับอาการหลงผิดของตนเอง
การจำแนกกลุ่มย่อย
1. Erotomanic type หลงผิดว่าบุคคลอื่นมาหลงรักตนเอง โดยบุคคลนั้นมักเป็นผู้ที่มีความสำคัญ หรือมีชื่อเสียง
2. Grandiose type เชื่อว่าตนเองมีความสามารถเหนือกว่าผู้อื่น มีความหยั่งรู้พิเศษ หรือหลงผิดว่าตนเองเกี่ยวข้องใกล้ชิดกับบุคคลสำคัญ
3. Jealous type หลงผิดว่าคู่ครองของตนนอกใจ
4. Persecutory type ระแวงว่าตนเองถูกกลั่นแกล้ง สะกดรอย หรือวางยาพิษ เป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด
5. Somatic type หลงผิดเกี่ยวกับร่างกายของตนเอง เช่น หลงผิดว่าบางส่วนของร่างกายผิดรูปร่าง น่าเกลียด หรืออวัยวะบางอวัยวะไม่ทำงาน
สาเหตุ
1. ปัจจัยด้านจิตใจ เชื่อว่าผู้ป่วยเหล่านี้มีการเลี้ยงดูในช่วงต้นของชีวิต ในลักษณะที่ทำให้ขาดความไว้วางใจต่อโลกภายนอก มีความรู้สึกไวต่อท่าทีของผู้อื่นเมื่อตกอยู่ในสถานการณ์บางประการ ทำให้มีความเครียดสูง นำไปสู่การใช้กลไกทางจิตอันทำให้เกิดอาการต่างๆตามมา ผู้ป่วยบุคลิกภาพผิดปกติประเภท Paranoid, schizoid หรือ avoidant มีโอกาสเกิดโรคนี้สูง
2. ปัจจัยด้านสังคม พบโรคนี้ย่อยในกลุ่มผู้อพยพ กลุ่มที่ต้องพบกับสภาวะต่างๆ ที่มีความเครียดสูง และชนชั้นที่มีเศรษฐฐานะต่ำ
3. ปัจจัยด้านชีวภาพ สันนิษฐานว่าเกิดจาก hemispheric dysfunction โดยเฉพาะในสมองซีกซ้าย เนื่องจากสมองทั้งสองซีกทำงานประสานกันในการรับรู้และประเมินข้อมูลต่างๆ
การวินิจฉัยแยกโรค
1. Delirium, dementia หรือ substance-related disorders พบบ่อยว่ามาด้วยอาการเหมือน delusional disorder โดยเฉพาะในผู้ป่วย dementia ระยะต้นอาจมีอาการหวาดระแวงเป็นอาการเด่น ผู้ป่วย substance-related disorder เช่น จากแอมเฟตามีน จะมีอาการหลงผิดเช่นเดียวกันได้
2. โรคจิตเภทชนิด paranoid อาจมีอาการหลงผิดได้คล้ายกัน แต่โรคจิตเภทจะพบอาการอื่นๆ ร่วม เช่น ประสาทหลอน หรือมีอาการหลงผิดอื่นที่แปลกๆ นอกจากนั้นเมื่อเทียบกันโดยรวมแล้ว ผู้ป่วยโรคจิตเภทมีปัญหาความบกพร่องในหน้าที่การงานหรือการเข้าสังคมมากกว่า
3. โรคอารมณ์แปรปรวนที่มีอาการโรคจิตร่วมด้วย โรคอารมณ์แปรปรวนมีอาการด้านอารมณ์ค่อนข้างชัดเจนและมักเป็นก่อนเกิดการหลงผิด เมื่อติดตามการรักษาไประยะหนึ่งจะพบว่าอาการด้านอารมณ์ยังคงมีอยู่แม้ว่าผู้ป่วยจะหายจากอาการหลงผิดแล้ว
การดำเนินโรค
ประมาณครึ่งหนึ่งหายขาดจากอาการ อีกร้อยละ 20 ยังพอมีอาการอยู่บ้าง ส่วนร้อยละ 30 ที่เหลือนั้นเป็นเรื้อรัง โดยจะมีอาการมากเป็นระยะๆ ผู้ป่วยที่มีการพยากรณ์โรคดี ได้แก่ ผู้ป่วยที่มีหน้าที่การงานดี มีครอบคัวเพื่อนฝูง มีอาการเมื่ออายุไม่มาก อาการเป็นเร็ว และมีสาเหตุกระตุ้นชัด
การรักษา
ผู้รักษาควรเน้นที่สัมพันธภาพในการรักษา รับฟังผู้ป่วยด้วยความเข้าใจไม่โต้แย้งคัดค้านอาการหลงผิดของผู้ป่วยว่าไม่เป็นจริง ในขณะเดียวกันก็ไม่เข้าข้าง หรือแสดงท่าทีสนับสนุนความเชื่อของผู้ป่วย การรักษามุ่งเน้นที่การปรับตัวของผู้ป่วย ให้ผู้ป่วยพออยู่ในสังคมได้ มีการปรับตัวที่ดีในระดับหนึ่ง แม้จะยังมีอาการหลงผิดอยู่บ้าง
1. การรับไว้รักษาในโรงพยาบาล ในกรณีที่ผู้ป่วยมีความเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตาย เป็นอันตรายต่อผู้อื่น มีปัญหาในหน้าที่การงานมาก ควรรับไว้รักษาในโรงพยาบาล การบอกผู้ป่วยจะเน้นว่าให้อยู่โรงพยาบาลเพื่อการตรวจวินิจฉัยที่ละเอียด หรือเพื่อรักษาอาการทางร่างกายที่รบกวนผู้ป่วย
2. การรักษาด้วยยา ให้ยารักษาโรคจิต ควรเริ่มด้วยขนาดต่ำ เช่น haloperidol 2-4 มก./วัน ค่อยๆ เพิ่มขนาด เนื่องจากหากเกิดอาการข้างเคียงผู้ป่วยจะไม่ยอมกินยาอีก ขนาดยาจะใกล้เคียงกับที่ใช้ในผู้ป่วยโรคจิตเภท
การให้คำปรึกษา แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษ คือ Counseling ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึง การให้คำปรึกษา คำแนะนำ หรือการให้ข้อมูลเพื่อช่วยเหลือ แต่ “การปรึกษาเชิงจิตวิทยา” มีความหมายที่แตกต่างออกไป โดยจากสมาคมการปรึกษาเชิงจิตวิทยานานาชาติ (International Association for Counseling: IRTAC) ให้นิยามจิตวิทยาการปรึกษาไว้ว่า คือ วิธีการแห่งการสร้างความสัมพันธ์และการตอบสนองต่อผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นโอกาสให้บุคคลได้สำรวจตนเอง ทำให้ชีวิตชัดเจนขึ้น และใช้ชีวิตในทางที่น่าพึงพอใจและสร้างสรรค์