อาการ Burnout เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอในคนที่ทำงานด้านสุขภาพจิต
ผมเข้าใจว่า อาการทางจิตของผู้ป่วยทางจิตสามารถลุกลามไปสู่บุคคลรอบข้างได้มากบ้าง น้อยบ้าง ขึ้นอยู่ที่ภูมิต้านทานทางจิตใจของแต่ละคนทำนองเดียวกับเชื้อโรคทางกายที่สามารถลุกลามถึงกันได้
ในชั่วโมงแรกๆ ของการเรียนวิชาจิตบำบัด (Psychotherapy)สิ่งสำคัญที่อาจารย์เน้นย้ำเป็นพิเศษก็คือเรื่อง Empathy และ Sympathyอาจารย์บอกว่าให้มี Empathy และย้ำว่าอย่ามี Sympathy
Empathy คือ การรู้จักเห็นอกเห็นใจ เข้าใจในความรู้สึกของบุคคลอื่นโดยที่ไม่มีอารมณ์ร่วม หรือคล้อยตามไปกับความรู้สึกของเขาเช่น เข้าใจ และเห็นใจคนที่เศร้า โดยที่ตัวเองไม่เศร้าไปด้วย
ต่างจาก Sympathy ซึ่งหมายถึง การคล้อยตามอารมณ์ หรือมีอารมณ์ร่วมเช่น เมื่อคุยกับคนเศร้า ก็เศร้าไปด้วยกันกับเขา
นี่คือหลักการเบื้องต้นที่สำคัญในการบำบัดผู้ป่วยทางจิตส่วนใครจะทำได้ตามหลักการมากน้อยแค่ไหน ขึ้นอยู่กับการฝึกฝนและภูมิต้านทานทางจิตใจของแต่ละคน
นึกถึงเรื่องการปฏิบัติวิปัสสนากรรมฐานเวลาที่มีอาการปวดเกิดขึ้นโดยหลักการแล้ว ท่านให้พิจารณากำหนดรู้อย่างเดียวให้สักแต่ว่ารู้ ไม่คิดปรุงแต่งใดๆท่องบริกรรมอยู่ในใจแต่เพียงว่า "ปวดหนอ ปวดหนอ"คอยระวังจิตไม่ให้มีกิเลสเกิดขึ้นถ้าทำได้ตามนี้ กายจะเป็นทุกข์ฝ่ายเดียว แต่ใจไม่เป็นทุกข์
แต่มันก็ไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะโดยปกติจิตมักจะเคยชินกับการปรุงแต่งตามกิเลสตัณหากิเลสตัวสำคัญที่มักเกิดขึ้นเวลาปวดก็คือ "วิภวตัณหา"คือความอยากที่จะพ้นจากสภาพความปวดนั้นทันทีที่วิภวตัณหาเกิดขึ้น ช่วงเวลานั้นใจจะเป็นทุกข์ทันทีที่เราคิดว่า "เมื่อไหร่มันจะหายปวดหนอ" เราอยากให้มันหายปวด แต่มันก็ไม่ยอมหายสักที ใจมันก็ร้อน กะวนกระวายนั่นหมายความว่า กายก็เป็นทุกข์ ใจก็เป็นทุกข์นี่คือตัวอย่างให้เห็นง่ายๆ ว่า กิเลสทำให้เกิดความทุกข์อย่างไร
ดังนั้น...สิ่งที่เราควรจะเรียนรู้และฝึกฝนก็คือการอยู่กับความทุกข์ โดยที่ใจไม่เป็นทุกข์เหมือนการอยู่กับไฟได้โดยที่ไม่รู้สึกร้อนมันเป็น "ความสามารถพิเศษ" ที่เรามักมองข้าม
ความสามารถพิเศษที่เราพูดถึงกันอยู่ทั่วไปเช่น การพูดได้หลายภาษา การเล่นกีฬาการเล่นดนตรี การสร้างงานศิลปะ
แต่ผมว่า ความสามารถพิเศษที่เราไม่ควรมองข้ามก็คือ"ความสามารถในการทำใจให้มีความสุข""ความสามารถจัดการกับความทุกข์"และ อาจจะรวมไปถึง ..."ความสามารถในการแบ่งปันความสุขให้แก่บุคคลอื่น"
และสุดท้าย...คำถามที่เราต้องตอบก็คือการศึกษาช่วยให้คนมีความสามารถพิเศษแบบนี้มากน้อยแค่ไหน
การให้คำปรึกษา แปลมาจากคำในภาษาอังกฤษ คือ Counseling ซึ่งโดยทั่วไปหมายถึง การให้คำปรึกษา คำแนะนำ หรือการให้ข้อมูลเพื่อช่วยเหลือ แต่ “การปรึกษาเชิงจิตวิทยา” มีความหมายที่แตกต่างออกไป โดยจากสมาคมการปรึกษาเชิงจิตวิทยานานาชาติ (International Association for Counseling: IRTAC) ให้นิยามจิตวิทยาการปรึกษาไว้ว่า คือ วิธีการแห่งการสร้างความสัมพันธ์และการตอบสนองต่อผู้อื่นโดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นโอกาสให้บุคคลได้สำรวจตนเอง ทำให้ชีวิตชัดเจนขึ้น และใช้ชีวิตในทางที่น่าพึงพอใจและสร้างสรรค์