ก. สามารถทำสิ่งต่างๆได้ เพราะฉันอยากจะทำ
ข. มีชีวิตครอบครัวที่มีความสุข
ค. ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน
2. คุณให้ความสำคัญกับการทำตามความรู้สึกและสัญชาตญาณของคุณมากแค่ไหน
ก. ให้ความสำคัญมาก
ข. ไม่ให้ความสำคัญมากนัก แต่ฉันก็มักทำตามความรู้สึกและสัญชาตญาณของฉันเป็นบางครั้ง
ค. แทบจะไม่ให้ความสำคัญสักเท่าไหร่
3. ข้อใดที่บรรยายเกี่ยวกับตัวคุณได้ดีที่สุด
ก. อยากรู้อยากเห็น ช่างซักช่างถาม
ข. เป็นระเบียบเรียบร้อย
ค. เอาจริงเอาจัง และขยันหมั่นเพียร
4. ข้อใดต่อไปนี้น่าจะทำให้คุณรู้สึกทึ่งและอัศจรรย์ใจได้มากที่สุด
ก. สิ่งมหัศจรรย์ของโลกอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น แกรนด์แคนยอน
ข. สิ่งก่อสร้างอันยิ่งใหญ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น เช่น ทัชมาฮาล
ค. เสียงร้องอันทรงพลังของนักร้องโอเปร่าระดับโลกอย่าง ลูซิอาโน พาวารอตติ และ พลาซิโด โดมิงโก
5. คุณรู้สึกเป็นกังวลกับการกระทำของมนุษย์ต่อสิ่งแวดล้อมบ่อยแค่ไหน
ก. บ่อยมาก
ข. เป็นบางครั้ง
ค. แทบจะไม่รู้สึกกังวลเลย
6. ข้อใดต่อไปนี้ที่คุณนิยมชมชอบมากที่สุด
ก. การบินของนก
ข. ความรวดเร็ว ปราดเปรียว และสง่างามของเสือชีต้า
ค. ความแข็งแกร่ง และความกล้าหาญของสิงโต
7. คุณชอบกำหนดเป้าหมายให้กับตนเอง และพยายามยึดมั่นในเป้าหมายนั้นหรือเปล่า
ก. ไม่ชอบ ฉันมักจะทำสิ่งต่างๆ เมื่อฉันรู้สึกพร้อม และมีอารมณ์ที่จะทำเท่านั้น
ข. ฉันวางแผนล่วงหน้าเป็นบางครั้ง แต่ก็สามารถยืดหยุ่นและเปลี่ยนแปลงได้
ค. ชอบ วิธีการดังกล่าวเป็นวิธีการที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดในการทำสิ่งต่างๆ ให้สำเร็จ
8. ความตรงต่อเวลาเป็นสิ่งที่สำคัญสำหรับคุณมากแค่ไหน
ก. ไม่สำคัญ
ข. ค่อนข้างจะสำคัญ
ค. สำคัญมาก
9. ข้อใดต่อไปนี้เป็นสิ่งที่ยากสำหรับคุณในการสอบ
ก. การมีสมาธิ และการทบทวนตำรา
ข. การเอาชนะความกลัวและความวิตกกังวลให้ได้ก่อนที่จะสอบ
ค. ความกังวลว่าฉันจะได้คะแนนสูงหรือเปล่า
10. ถ้าคุณมีเวลาว่าง กิจกรรมอะไรที่คุณสนใจอยากจะทำมากที่สุด
ก. งานที่ใช้ความคิดสร้างสรรค์ เช่น การวาดภาพ หรืองานปั้น
ข. งานกีฬา เช่น กอล์ฟ หรือโบว์ลิ่ง
ค. ไปเล่นฟิตเนสเพื่อให้ฉันมีรูปร่างที่ดีอยู่เสมอ
11. คำใดต่อไปนี้สามารถบรรยายเกี่ยวกับตัวคุณได้ดีที่สุด
ก. ซับซ้อนและเข้าใจยาก
ข. พอใจในสิ่งที่ตนเองมีอยู่
ค. ชอบการคำนวณและวางแผน
12. คุณเคยฝันแล้วไม่สามารถอธิบายได้บ่อยแค่ไหน
ก. บ่อยครั้ง
ข. เป็นบางครั้ง
ค. แทบจะไม่เคย หรือไม่เคยเลย
13. คุณสมบัติข้อใดต่อไปนี้ที่สามารถสรุปความเป็นตัวตนของคุณได้ดีที่สุด
ก. ไม่ชอบทำตามกรอบหรือกฎเกณฑ์ใดๆ
ข. เฉลียวฉลาด
ค. อดทนอดกลั้น
14. คุณใจลอยบ่อยหรือเปล่า
ก. บ่อยครั้ง
ข. เป็นบางครั้ง
ค. น้อยครั้ง
15. ข้อใดต่อไปนี้ทำให้คุณรู้สึกหงุดหงิดอารมณ์เสียมากที่สุด
ก. กฎเกณฑ์ และข้อบังคับ
ข. ความไม่สุภาพและหยาบคาย
ค. การไม่มีทักษะและไม่มีความสามารถในการทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ
16. คุณเคยเกิดแรงบันดาลใจ หรือแนวคิดใหม่ๆขึ้นอย่างกะทันหันและไม่สามารถหยุดความคิดนั้นได้จนกว่าจะได้ลองนำไปปฏิบัติบ่อยแค่ไหน
ก. บ่อยครั้ง
ข. เป็นบางครั้ง
ค. แทบจะไม่ หรือไม่เคยเลย
17. คุณคิดว่าการทำงานที่ต้องใช้เวลานานโดยไม่หยุดพักไปทำกิจกรรมอย่างอื่นเลยเป็นเรื่องที่ยากหรือเปล่า
ก. ยาก
ข. บางครั้งก็ยาก บางครั้งก็ไม่ยาก
ค. ไม่ยากเสมอไป
18. อะไรคือสิ่งที่คุณกังวลมากที่สุดเกี่ยวกับการเกษียณอายุ
ก. ไม่มีอะไรที่ฉันกังวลเกี่ยวกับการเกษียณอายุ
ข. อาจจะเป็นความแก่ และความไม่แข็งแรงอย่างที่เคยเป็น
ค. ฉันกลัวว่าฉันอาจจะเบื่อ และไม่สามารถหาอะไรทำได้
19. ข้อใดที่ใกล้เคียงกับความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับการทำผิดพลาดมากที่สุด
ก. การทำผิดพลาดเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ชีวิตที่เราต้องเรียนรู้จากมัน
ข. คนที่ไม่เคยทำผิดพลาดคือคนที่ไม่เคยทำอะไรเลย และคนที่ไม่เคยทำอะไรก็คือคนที่ทำผิดพลาดมากที่สุด
ค. เราทุกคนก็เคยทำผิดพลาดด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งแน่นอนว่าผู้ชนะในเกมส์ชีวิตย่อมทำผิดพลาดน้อยกว่าผู้แพ้
20. คำต่อไปนี้สามารถบรรยายเกี่ยวกับตัวคุณได้มากที่สุด
ก. เจ้าปรัชญา
ข. รักความสงบ
ค. ชอบปฏิบัติมากกว่าทฤษฎี
21. คุณคิดอย่างไรกับข้อความที่ว่า “ยิ่งมีเรื่องให้ทำมาก ก็ยิ่งมีเวลาให้ทำน้อย”
ก. ฉันเห็นด้วย ฉันมักรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องดังกล่าวอยู่บ่อยๆ
ข. ฉันยอมรับว่ายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่ฉันอยากจะทำถ้าฉันมีโอกาส แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ฉันกังวล หรือหงุดหงิดมากนัก
ค. ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มากนัก
22. คุณคิดว่าคุณเรียนวิชาใดต่อไปนี้เก่งที่สุด
ก. วิชาในเชิงปฏิบัติ เช่น ศิลปะ หรืองานช่าง
ข. กีฬา
ค. คณิตศาสตร์
23. คุณเชื่อหรือเปล่าว่า ในบางครั้งก็จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงเพื่อยุติปัญหา หรือเพื่อให้เรื่องมันจบ
ก. ไม่ ไม่ว่าจะในสถานการณ์ไหนก็ตาม
ข. อาจจะในบางสถานการณ์เท่านั้น
ค. เชื่อ
24. คุณอยากจะถูกมองว่าเป็นคนอย่างไรมากที่สุด
ก. ช่างจินตนาการ และมีความคิดสร้างสรรค์
ข. มีอัธยาศัยดี และเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
ค. ไว้ใจ และพึ่งพาได้
25. คุณมักจะทำอย่างไรเมื่อคุณต้องทำการตัดสินใจครั้งสำคัญ
ก. ทำการตัดสินใจด้วยตนเอง
ข. ปรึกษากับคนที่ฉันสนิทและช่วยกันตัดสินใจ
ค. ขอคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ
26. คุณเป็นคนที่เก็บเอกสารสำคัญอย่างเป็นระบบระเบียบแค่ไหน
ก. ไม่เป็นระบบระเบียบเลยแม้แต่น้อย
ข. ค่อนข้างเป็นระบบระเบียบพอสมควร
ค. เป็นระบบระเบียบมาก
27. ข้อใดต่อไปนี้ที่คุณคิดว่าตรงกับตัวคุณมากที่สุด
ก. ช่างคิดช่างฝัน และช่างจินตนาการ
ข. มั่นคง มีเหตุผล
ค. เอาจริงเอาจัง เป็นการเป็นงาน
28. คุณทุ่มเทแรงกายแรงใจเกือบทั้งหมดของคุณให้กับการทำงานหรือเปล่า
ก. ไม่
ข. ฉันเป็นคนเอาจริงเอาจังกับการทำงานมาก แต่ฉันก็มีเวลาที่จะสนุกกับการทำกิจกรรมอื่นๆด้วย
ค. ใช่ ฉันคิดว่าฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญในอาชีพของฉัน ดังนั้น ฉันจึงจำเป็นต้องทุ่มเทเวลา และแรงกายแรงใจให้กับมันเป็นอย่างมาก
29. ข้อใดต่อไปนี้บรรยายเกี่ยวกับตัวคุณได้ดีที่สุด
ก. มีอารมณ์อ่อนไหว
ข. เด็ดขาด
ค. ก้าวร้าว
30. ข้อใดต่อไปนี้มีอิทธิพลต่อการเลือกสถานที่พักผ่อนในช่วงวันหยุดพักร้อนของคุณมากที่สุด
ก. ทัศนียภาพที่สวยงาม
ข. แสงแดด ทะเล และหาดทราย
ค. ชีวิตกลางคืนที่น่าตื่นเต้น
บทวิเคราะห์
เราสามารถสรุปการทำงานของสมองซีกซ้าย และสมองซีกขวาได้ดังต่อไปนี้ ;
สมองซีกซ้าย:
-มองในรายละเอียดปลีกย่อย
-คิดแบบตรรกะ (การคิดแบบมีหลักการและเหตุผล
-ความคิดที่เกิดจากความตั้งใจ
-มีจิตสำนึก มีสติควบคุมตัวเองได้
-วิธีการ กฎเกณฑ์
-ภาษาเขียน
-ทักษะตัวเลข และการคำนวณ (คณิตศาสตร์)
-การใช้เหตุผล
-ทักษะเชิงวิทยาศาสตร์
-ความแข็งกร้าว ไร้อารมณ์
-การทำงานหรือทำสิ่งต่างๆ ทีละอย่างเป็นไปตามลำดับ
-ความฉลาดด้านการใช้ภาษาพูด
-การใช้สติปัญญา
-การวิเคราะห์
สมองซีกขวา:
-มองแบบภาพรวม
-ใช้สัญชาติญาณ
-ความคิดที่ผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ
-ทำอะไรโดยไม่รู้ตัว ทุกอย่างออกมาจากจิตใต้สำนึก
-ความคิดสร้างสรรค์
-ภาษาท่าทางหรือภาษากาย
-มิติสัมพันธ์ (การมองเห็น ขนาด รูปร่าง รูปทรง ฯลฯ)
-จินตนาการ
-ดนตรี ศิลปะ
-ความอ่อนโยน นุ่มนวล
-ทำงานหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน
-ความฉลาดด้านการปฏิบัติ งานช่าง งานฝีมือ
-การใช้อารมณ์และความรู้สึก
-การสังเคราะห์
สมองของคนเราทำหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกซ้าย ในขณะที่สมองซีกซ้ายทำหน้าที่ควบคุมร่างกายซีกขวา โดยแม้ว่าคนบางคนอาจจะให้น้ำหนักกับสมองซีกใดซีกหนึ่งมากเป็นพิเศษ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนคนนั้นจะมีแต่ทักษะที่ควบคุมโดยสมองซีกหนึ่งเสมอไป เนื่องจากคงไม่มีใครใช้งานสมองซีกซ้าย หรือสมองซีกขวาข้างใดข้างหนึ่งเพียงข้างเดียวอย่างแน่นอน ซึ่งการใช้สมองทั้งสองซีกให้เท่าๆกัน หรือให้สมดุลกันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมากต่อการกระตุ้นระบบการทำงานทั้งหมดของสมอง ตัวอย่างเช่น การใช้เหตุผลและการใช้สัญชาติญาณควบคู่กัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ระบบการศึกษาส่วนใหญ่ในโลกนั้นอาศัยความเชี่ยวชาญทางวิชาการ และมักจะให้ความสำคัญกับการพัฒนาทักษะในการวิเคราะห์ของสมองซีกซ้ายมากกว่าจะพัฒนาพรสวรรค์แห่งการใช้ความคิดสร้างสรรค์ของสมองซีกขวาอยู่เสมอ
มาดูคะแนนดีกว่า
-ให้ 2 คะแนน สำหรับคำตอบ ก.
-ให้ 1 คะแนน สำหรับคำตอบ ข.
-ให้ 0 คะแนน สำหรับคำตอบ ค.
48 - 60 คะแนน
คะแนนที่คุณได้แสดงให้เห็นว่าคุณอยู่ในกลุ่มของคนที่ถนัดใช้สมองซีกขวา ซึ่งสมองซีกขวาของคุณจะทำหน้าที่ควบคุมความสามารถด้านมิติสัมพันธ์ (ความสามารถในการมองเห็นและเข้าใจเกี่ยวกับมิติต่างๆ เช่น ขนาด รูปร่าง รูปทรง ระยะทาง ทิศทาง พื้นที่ ปริมาตร สี เป็นต้น) การแสดงออกทางศิลปะ ความคิดสร้างสรรค์ การใช้สัญชาตญาณ ความรู้สึก ความคิดที่ผุดขึ้นมาเองตามธรรมชาติ และการแสดงออกทางอารมณ์
สมองซีกขวาเป็นสมองส่วนความรู้สึกและสัญชาตญาณซึ่งทำหน้าที่จินตนาการ และรับรู้สิ่งต่างๆ ไปในภาพรวม กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ คุณมักจะมองสิ่งต่างๆ เป็นภาพรวมใหญ่มากกว่ารายละเอียดปลีกย่อย ดังนั้น สมองซีกขวาซึ่งทำหน้าที่สร้างภาพรวมใหญ่จากรายละเอียดย่อย และในขณะเดียวกันก็ทำให้เกิดความฝัน และความคิดสร้างสรรค์ และแนวคิดที่แปลกใหม่
การเป็นคนที่ถนัดใช้สมองซีกขวาของคุณยังจะทำให้คุณมีความซาบซึ้งกับงานศิลปะ และดนตรีมากเป็นพิเศษอีกด้วย โดยส่วนใหญ่คนที่ถนัดใช้สมองซีกขวาเช่นคุณมักจะเรียนรู้สิ่งต่างๆ ด้วยวิธีการที่สร้างสรรค์ และเกิดขึ้นจากจิตใต้สำนึก ซึ่งจะนำมาสู่การแสดงอารมณ์และความรู้สึกต่อสถานการณ์ต่างๆ ที่ตรงกันข้ามกับการวิเคราะห์ด้วยเหตุผลเสมอ อย่างไรก็ตาม มีอยู่หลายครั้งด้วยกันที่คุณมักจะฉุกคิดถึงคำตอบหรือทางออกที่ถูกต้องของปัญหาที่เกิดขึ้นได้โดยที่ตัวคุณเองก็ไม่แน่ใจว่าได้คำตอบนั้นมาได้อย่างไร และด้วยเหตุนี้เองสัญชาตญาณจึงเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ถนัดใช้สมองซีกขวา
สมองซีกซ้ายมักจะประมวลผลสิ่งต่างๆ เรียงตามลำดับเหตุการณ์ หรืออย่างเป็นขั้นเป็นตอน ซึ่งต่างกับสมองซีกขวาที่ทำการประเมินผลแบบตามอำเภอใจ และทำหลายๆอย่างในเวลาเดียวกัน ด้วยเหตุนี้เองคุณอาจจะรู้สึกว่าคุณมีแนวโน้มที่จะเปลี่ยนจากการทำงานอย่างหนึ่งไปยังการทำงานอีกอย่างหนึ่งก่อนที่งานชิ้นแรกจะเสร็จสมบูรณ์อยู่เสมอ ผลที่ตามมาก็คืองานโน้นก็ยังไม่เสร็จงานนี้ก็ยังไม่เสร็จ ไม่มีงานไหนเสร็จสักงานหนึ่งเลย ดังนั้น คุณจึงควรจะต้องทำรายการงานที่จะต้องทำ ตารางเวลา และกำหนดเวลาที่จะต้องทำงานให้เสร็จ เพื่อช่วยให้คุณมีวินัยในการทำงานต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
30 – 47 คะแนน

ข้อดีของการใช้สมองทั้งสองซีกได้อย่างสมดุลกัน ก็คือ คุณสามารถรับรู้ถึงภาพรวม และรายละเอียดปลีกย่อยที่จำเป็นได้ในเวลาเดียวกัน ตัวอย่างเช่น สถาปนิกจำเป็นต้องมีสมดุลที่เหมาะสมระหว่างความคิดสร้างสรรค์ ตรรกะ และรายละเอียดของงานเพื่อให้พวกเขาสามารถนำแนวความคิดนั้นมาปฏิบัติได้จริง
ข้อได้เปรียบที่ชัดเจนอีกอย่างของคนที่ถนัดใช้สมองทั้งซีกซ้ายและซีกขวาได้อย่างสมดุลกันก็คือ คนเหล่านี้มักจะมีความสามารถที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดสำหรับการประสบความสำเร็จในสาขาอาชีพที่หลากหลาย เนื่องจากพวกเขามีความคิดที่ยืดหยุ่นและพลิกแพลงสูง นอกจากนี้กระบวณการเรียนรู้ และการคิดของพวกเขาก็จะยิ่งมีการพัฒนามากขึ้น เมื่อสมองทั้งสองซีกทำงานร่วมกันอย่างสมดุล
น้อยกว่า 30 คะแนน
คุณก็เป็นเหมือนคนส่วนใหญ่ที่ถนัดใช้สมองซีกซ้ายเป็นหลัก สมองซีกซ้ายทำหน้าที่เกี่ยวกับการวิเคราะห์ การเรียงลำดับ และการให้เหตุผล ซึ่งส่งผลไปถึงการควบคุมการใช้ภาษา การเรียนรู้เชิงวิชาการและการรู้จักใช้เหตุผล คนที่ถนัดใช้สมองซีกซ้ายมักจะทำการประมวลผลข้อมูลจากรายละเอียดไปหาภาพรวมอย่างเป็นลำดับขั้นตอน ซึ่งตรงกันข้ามกับคนที่ถนัดใช้สมองซีกขวาที่มักจะมองภาพรวมก่อนเป็นลำดับแรก
สมองซีกซ้ายมักจะทำการประมวลผลสิ่งต่างๆ เป็นขั้นตอนโดยไม่มีการทำไปตามอำเภอใจ และมักจะส่งผลให้คุณเป็นนักบัญชี หรือนักวางแผนที่ดี นอกจากนี้ การสะกดคำยังเป็นจุดแข็งอีกประการหนึ่งของคนที่ถนัดสมองซีกซ้ายอีกด้วย เนื่องจากการสะกดคำเป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับการเรียงลำดับ ยิ่งไปกว่านั้นคนที่ถนัดใช้สมองซีกซ้ายมักจะมีโอกาสที่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขาอาชีพที่พวกเขาเลือกได้มากขึ้นอีกด้วย
คนที่ถนัดใช้สมองซีกซ้ายหากนำข้อดีของการใช้สมองซีกขวา เช่น การพัฒนาทักษะในการคิดเชิงสร้างสรรค์ และการใช้ความรู้สึกหรือสัญชาติญาณมาใช้ก็จะก่อให้เกิดประโยชน์ได้มาก ตัวอย่างเช่น ในระหว่างเรียนหนังสือ นักเรียนที่ใช้สมองซีกขวามักจะค่อนข้างเสียเปรียบ ถ้าพวกเขาไม่ได้ข้อมูลเกี่ยวกับภาพรวมของการเรียนทั้งหมดล่วงหน้า เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องรับรู้อย่างแน่ชัดก่อนว่าพวกเขากำลังทำอะไร และเพื่ออะไร ในขณะเดียวกันนักเรียนที่ใช้สมองซีกซ้ายมักจะไม่จำเป็นต้องได้รับข้อมูลภาพรวมของการเรียนทั้งหมดไว้ก่อนล่วงหน้า แต่การทำความเข้าใจภาพรวมของการเรียนทั้งหมดไว้ก่อนก็สามารถเป็นประโยชน์ต่อการเรียนของพวกเขาได้