ฟอร์ทนั้นเชื่อว่าบนโลกนี้อาจมีพลังลึกลับชนิดหนึ่ง ซึ่งสามารถเคลื่อนย้ายสสาร วัตถุ หรือแม้แต่สิ่งมีชีวิตไปมาระหว่างสองจุดโดยไม่ต้องผ่านระยะทางตรงหว่างกลางทั้งยังบังคับได้จากระยะไกลด้วย ถ้าหากพลังงานนี้มีจริง เราก็สามารถอธิบายปริศนาเรื่องคนหายวับต่อหน้าเราต่อหน้าตาต่อเราได้ นอกจากนั้นเรายังมีคำอธิบายกลไกเบื้องหลังเหตุการณ์พิสดารอื่นๆ ด้วย
ใครนึกภาพไม่ออกก็ให้นึกถึงเหล่าจั๊มเปอร์ในเรื่อง The Jumper นะครับตอนที่พวกนั้นวาร์ปในพริบตานั้นแหละใช่เลย....
กฎวิทยาศาสตร์ในปัจจุบัน “การล่องหนและเทเลพ็อต” ไปยังที่ต่างๆ นั้นไม่สามารถเป็นไปได้ แต่เหตุการณ์ทำนองแบบนี้ดันเคยอุบติจริงบนโลกใบนี้!!
เรื่องเล่าเก่าแก่ที่ปรากฏออกมาเป็นเรื่องของชาวสเปน ที่มีมานานกว่าสี่ศตวรรษ เล่าว่า ในเดือนตุลาคม ค.ศ.1593 ทหารหนุ่มรายหนึ่งพลัดจากประเทศฟิลิปปินส์แล้วไปหลงอยู่ในเม็กซิโกซิตี้ (ระยะทางกว่า 15,000 กม.) ชุดเครื่องแบบที่เขาสวมใส่นั้นดูประหลาดสำหรับชาวเมืองมาก เขาถูกสอบสวนเขาบอกว่าก่อนที่จะโผล่มาที่นี้เขายืนรักษาการณ์อยู่ที่ทำ ทำการราชการจังหวัดในกรุงมนิลา เมืองหลวงฟิลิปปินส์ เขาบอกว่าผู้ว่าท่านนี้ถูกลอบสังหารส่วนเขาก็หลงมาที่เม็กซิโกได้ยังไงก็ไม่ทราบ หลายเดือนต่อมามีเรือจากฟิลิปปินส์ ได้ยินยันว่าข่าวลอบสังหารผู้ว่าเป็นเรื่องจริง และตรงกับรายละเอียดของทหารคนนั้นเล่าทุกประการ
เรื่องนี้ต่อมาได้รับอิทธิพลให้นักเขียนแนวลึกลับนาม เอ็ม. เค. เจสอัพ เอาไปเขียนในเวลาต่อมา นอกจากนี้ยังมีหลายเรื่องที่เขียนเกี่ยวกับล่องหน โดยเวลเลสลีย์ ทิวเดอร์ โพล เขียนไว้ในหนังสือ The Silent Road (1962) ว่า “ในคืนที่ชุ่มโชกและพายุกระหน่ำในเดือนธันวาคม ปี 1952ผมพบตัวเองอยู่ที่สถานีรถไฟห่างจากบ้านของผมออกไปราวสองกิโลกว่า รถไฟจากลอนดอนมาช้ากว่ากำหนด รถประจำทางเพิ่งออกไป และแท็กซี่ก็ไม่มี ฝนตกหนักไม่ขาดสาย ขณะนั้นเป็นเวลา 17.55 น. ผมกำลังเตรียมตัวรอรับโทรศัพท์ทางไกลจากต่างประเทศซึ่งเป็นเรื่องสำคัญมาก โดยมาถึงตอนหกโมงเย็น ซ้ำร้ายโทรศัพท์สาธารณะที่สถานีดันเสียขึ้นมาอีก ผมนั่งอยู่ในห้องพักของผู้โดยสารด้วยความรู้สึกสิ้นหวังแบบไม่มีอะไรทำ ผมจึงเทียบเวลานาฬิกาข้อมือของผมกับนาฬิกาของสถานี เวลานั้นคือ 17.57 น. สิ่งที่เกิดขึ้นต่อมาผมไม่รู้ตัวเลย ผมพบตัวเองยืนอยู่ตรงทางเดินในบ้าน ซึ่งต้องใช้เวลาเดินเท้าประมาณ 20 นาทีจากสถานีรถไฟขณะนั้นนาฬิกากำลังตีเวลาหกโมงเย็น ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น หลังจากพูดคุยธุระเสร็จ ผมถึงตะหนักว่าได้เกิดเหตุการณ์พิลึกพิลั่นขึ้นเสียแล้ว หลังจากนั้นผมก็ประหลาดใจอีกเมื่อรองเท้าของผมแห้งสนิท ไม่มีคราบโคลนเปรอะเปื้อนเลย เสื้อผ้าไร้รอยเปียกชื้นหรือเลอะเทอะที่ตรงไหนสักจุดเดียว”

“เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 1871 นางกับพีได้ล่องหนจากบ้านของเธอที่ไฮร์บูรี(กรุงลอนดอน) มาปรากฏตัวอยู่บ้านหลังหนึ่งบนถนนแลมบ์ส คอนดูอิท ไกลออกไปประมาณ 5 กม. เธอหล่นมาตรงกลางวงเลยทีเดียวโดยมีเพียงชุดชั้นในปิดร่าง”
การล่องหนอันน่าอัศจรรย์กว่าได้เกิดขึ้นกับนักบุญแมรี่แห่งอะเกรดา แม้ว่าเธอไม่เคยย่างกรายออกจากสำนักแม่ชีในสเปนเลยแม้แต่ก้าวเดียว แต่มีหลักฐานอย่างเป็นทางการว่า แม่ชีแมรี่ได้เดินทางข้ามแอตแลนติกไปอเมริกามากกว่า 500 เที่ยว ในระหว่างปี 1620 ถึง 1631 เพื่อเทศน์สั่งสอนให้ชาวอินเดียนแดงเผ่าจูมาโนในนิวเม็กซิโกกลับ
ใจมานับถือคริสต์ ซึ่งทีแรกฝ่ายศาสนาจักรคาทอลิคพยายามกดดันให้แมรี่ปฏิเสธเรื่องนี้
แต่แล้วในปี 1622 สาธุคุณอลอนโซ เดอ เบนาวีเดส ได้มาเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่นิวเม็กซิโก และเขียนจดหมายถึงโป๊ป เออร์บันที่ 8 และพระเจ้าฟิลิปที่ 4 ของสเปน เพื่อไต่ถามว่าใครส่งมาที่นี่ก่อนเขา เนื่องจากชาวจูมาโน่อ้างว่าพวกเขารู้ในเรื่องคริสต์ศาสนามาจาก “หญิงในชุดน้ำเงิน” เป็นแม่ชีจากยุโรป และได้มอบไม้กางเขนลูหประคำ และถ้วยอาหารไว้ในพิธีมิซซาแก่พวกเขา เชื่อกันว่าลูกประคำเส้นดังกล่าวมาจากสำนักชีของแมรี่ที่อะเกรดา
จวบจนกระทั้งปี 1630 เมื่อสาธุคุณเบนาวิเดสกลับสเปนแล้วเขาได้ยินเรื่องของแม่ชีแมรี่กับความเชื่ออัศจรรย์ของเธอที่ว่า เธอได้เผยแพร่พระวจนะแก่ชาวอินเดียนแดงเผ่าจูมาโน เขาขออนุญาตเดินทางไปสอบสวนเธออย่างใกล้ชิด และได้รับรู้เรื่องราวการไปเยือนชนเผ่าอินเดียแดงอย่างพร้อมมูล รวมถึงรายละเอียดเกี่ยวรูปร่างลักษณะและธรรมเนียมประเพณีของชนเผ่านี้ แมรี่ได้เขียนประสบการณ์เหล่านี้ลงบันทึกประจำวัน แต่ภายหลังได้ตัดสินใจเผาทิ้งตามคำแนะนำของบาทหลวงท่านหนึ่ง
สาธุคุณเบนาวิเดสได้ถ่ายทอดเรื่องเล่าอันเหลือเชื่อดังกล่าวออกมมาเป็นผลงานขายดีของสมัยนั้น พร้อมระบุว่าแม่ชีแมรี่ให้หลักฐานมากมายที่พิสูจน์ว่าได้ท่องไปในอเมริกา โดยมีนักบุญมิคาเอลและฟรานซิสคอยโอบอุ้มประคองลอยล่องไป จริงๆ แล้วตามที่ปรากฏในบันทึกซึ่งไม่ได้รับตีพิมพ์ แมรี่ไม่เคยยืนยันตรงๆ ว่าได้ล่องหนหายไปทั้งตัว ในสมัยเธอยังเยาว์ เธอรอดพ้นจากการจับกุมในโทษฐานประพฤติตัวเยี่ยงแม่มดอย่างหวุดหวิด ฝ่ายศาสนจักรมักตำหนิเธอสำหรับความสามารถเหาะเหินอันน่าทึ่ง(อย่าลืมว่าแม่ชีแมรี่ได้รับแต่งตั้งเป็นนักบุญซึ่งถือกันว่ามีความบริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์อยู่ในระดับสูง) แมรี่เหนื่อยหน่ายในการอธิบายเธอเหมือนถูกบังคับให้ต้องเลือกใช้คำอย่างชาญฉลาด จนในที่สุดเธอก็ตอบ(เดา)เอาว่า ทูตสวรรค์มารับเธอ
สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ซับซ้อนไปอีกก็คือว่า ขณะที่แมชีแมรี่ทำสมาธิอยู่ในห้องเพียงลำพัง บรรดาแม่ชีคนอื่นๆ มักบอกแขกที่แวะมาหาเธอว่า “แม่ชีไปหาพวกชนเผ่าอินเดียนแดง”
ฉากการเดินทางของแมรี่ด้วยวิธีเหาะเหินเดินอากาศซึ่งดูเหมือนฝันนั้นช่างคล้ายกับผู้มีอำนาจวิเศษที่สามารถลอยตัวได้อย่างไรอย่างนั้น การสอดคล้องกันระหว่างบันทึกการมาเยือนของแม่ชีกับภาพต่างๆ ของชนเผ่าอินเดียนแดงที่แมรี่บรรยายได้ราวกับมีตาทิพย์ฟังดูแล้วไม่อาจปฏิเสธเรื่องเหลือเชื่อนี้ไปได้ทั้งหมด บันทึกความทรงจำฉบับหนึ่งของแมรี่เต็มไปด้วยรายละเอียดที่อาจทำให้หลายคนที่ชอบเรื่องลึกลับเชื่อไปตามๆ กัน
Random car appears in russia - Russian Ghost Car